ยางรถรั่วจะปะยางแบบไหนดี แบบสตรีมยาง แบบแทงใยไหม หรือแบบดอกเห็ด ควรเลือกวิธีปะยางอย่างไร?
ยางรถรั่วจะปะยางแบบไหนดี แบบสตรีมยาง แบบแทงใยไหม หรือแบบดอกเห็ด ควรเลือกวิธีปะยางอย่างไร?
ไม่ว่าคุณจะขับรถออฟโรด รถ SUV หรือรถยนต์ประเภทใดก็ตาม ย่อมมีโอกาสที่ต้องพบเจอกับสถานการณ์รถยางรั่วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่คนขับรถทุกคนไม่อยากจะเจอ ดังนั้น เพื่อช่วยให้สามารถไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย เราจะพาคุณไปดูว่าการปะยางรถยนต์มีกี่แบบ เลือกวิธีไหนดีกว่ากัน? ระหว่างปะแบบสตรีมยาง ปะแบบแทงใยไหม หรือปะยางแบบดอกเห็ด
ปะยางรถยนต์มีกี่วิธี และควรเลือกปะยางแบบไหนดีกว่ากัน?
ตอนนี้หากคุณเผลอไปขับรถเหยียบตะปู ลงหลุมบ่อด้วยความเร็ว ไปจนถึงถูกเศษวัสดุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนอต เศษไม้ หรือชิ้นส่วนรถยนต์ต่างๆ ที่อยู่บนถนน ทิ่มตำยางรถยนต์จนเกิดรั่วและทำให้รถยางแบนในที่สุด วันนี้เราจะมาแนะนำสองวิธีในการประยางรถยนต์ อย่างการปะรอยรั่วแบบสตรีมยาง ปะแบบแทงใยไหม หรือปะยางแบบดอกเห็ด จะได้เข้าใจว่าสองวิธีปะยางนี้ต่างกันอย่างไร และเหมาะกับการปะยางรั่วแบบไหนนั่นเอง
วิธีที่ 1 ปะยางรถยนต์แบบดอกเห็ด (PRP: Plug Repair Patch)
เริ่มต้นด้วยวิธีการปะยางแบบดอกเห็ด หรือในชื่อภาษาอังกฤษ (PRP: Plug Repair Patch) ถือเป็นหนึ่งในวิธีการปะซ่อมแซมยางรถยนต์ที่รั่วเล็กน้อย เช่น ถูกตะปูตำ หรือมีรอยถูกเจาะเล็กๆ ซึ่งที่มาที่ไปของชื่อวิธีการปะยางนี้มีที่มาจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการปะยางที่มีรูปร่างคล้ายกับดอกเห็ด โดยมีส่วนหัวที่แบนและก้านที่เรียวสำหรับเสียบลงไปในยาง ซึ่งตัวก้านของอุปกรณ์ปะยางจะถูกสอดเข้าไปในรูที่ยางรั่ว จากนั้นส่วนหัวที่แบนจะขยายตัวออกภายในยางเพื่อปิดรูและป้องกันไม่ให้อากาศรั่วออก
ข้อดีของการปะยางแบบดอกเห็ด
- ปะยางได้ง่ายและใช้เวลาไม่นาน: การปะยางแบบดอกเห็ดใช้เวลาไม่นานเท่าไรนัก จึงทำให้คุณสามารถกลับปะยางและนำมันไปใช้ต่อได้อย่างรวดเร็ว
- ทนทานต่อการรั่วซึมได้ดี: อุปกรณ์ปะยางแบบดอกเห็ดมีความแข็งแรงและทนทานต่อแรงดันลมยางที่สูงได้ดี จึงทำให้สามารถใช้งานยางรถยนต์ที่ผ่านการปะมาแล้วได้นานกว่า
- ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก: เมื่อเทียบกับการเปลี่ยนยางเส้นใหม่แล้ว การปะยางแบบดอกเห็ดถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่ามาก
ข้อเสียของการปะยางแบบดอกเห็ด
- ปะยางที่มีรูรั่วขนาดใหญ่ไม่ได้: การปะยางแบบดอกเห็ดเหมาะสำหรับรูรั่วที่มีขนาดเล็กเท่านั้น หากรูรั่วมีขนาดใหญ่เกินไปก็อาจไม่สามารถที่จะปะเพื่อปิดรูรั่วนั้นได้
- ปะรูรั่วได้บางตำแหน่ง: รูรั่วที่อยู่บริเวณแก้มยางหรือใกล้กับขอบยางรถยนต์ อาจไม่สามารถปะยางแบบดอกเห็ดได้
- ยางที่มีความเสียหายไม่สามารถปะรูรั่วได้: หากยางรถยนต์ที่รั่วซึมมีรอยปริแตก หรือเกิดความเสียหายภายในรูปแบบอื่นๆ การปะยางแบบดอกเห็ดอาจไม่อุดรูรั่วได้
ปะยางรถยนต์แบบดอกเห็ดมีค่าใช้จ่ายกี่บาท?
สำหรับการปะยางแบบดอกเห็ดนั้นจะมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอยู่ราว 200-300 บาท โดยราคาค่าบริการนั้นจะแปรผันตามร้านปะยาง รวมถึงคุณภาพของเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการปะยางแบบ PRP และส่วนใหญ่แล้วคุณจะสามารถปะยางแบบดอกเห็ดตามร้าน FastFit ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วไปประเทศได้ไม่ยาก
วิธีที่ 2 ปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหม
การแทงใยไหมถือว่าเป็นวิธีปะยางรถยนต์ยอดนิยมที่มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน มีคนจำนวนไม่น้อยเรียกวิธีปะยางแบบสอดไส้ อันเนื่องมาจากวิธีการปะยางที่ต้องสอดตัววัสดุปิดกั้นเนื้อยางในบริเวณที่เป็นรูหรือแผลรั่ว อย่างไรก็ตาม จะต้องใช้สว่านเบอร์เล็กหรือตะไบหางหนูเจาะรูให้มีขนาดพอดีกับวัสดุปะยางเสียก่อน จากนั้นใช้เครื่องมือที่ไว้ใช้แทงใยไหม สอดวัสดุปะยางพร้อมทากาวแล้วค่อยๆ ใส่เข้าไปในรูรั่วที่เตรียมไว้ และค่อยๆ ดึงเข็มขึ้นมา พร้อมกับตัดไหมส่วนเกินที่ออกมาให้เรียบร้อย
ข้อดีของการปะยางแบบแทงใยไหม
- รวดเร็วและสะดวก: สามารถปะยางที่รั่วอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอถอดยางออกมาปะ เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินที่ไม่ได้รุนแรงมากนัก
- ค่าใช้จ่ายต่ำ: ค่าใช้จ่ายในการปะยางแบบแทงใยไหมค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนยางใหม่หรือปะแบบสตรีมยาง
- สามารถทำได้เอง: หากคุณมีอุปกรณ์ครบ เช่น แม่แรงยกรถ, ชุดปะยาง, ปั๊มลมติดรถ และอุปกรณ์ถอดล้อ ก็สามารถปะยางเองได้หากมีสถานที่เหมาะสมและมีเวลามากพอ
ข้อเสียของการปะยางแบบแทงใยไหม
- เหมาะสำหรับยางที่มีรอยรั่วขนาดเล็ก: วิธึปะยางแบบแทงใยไหมสามารถใช้ได้กับรอยรั่วขนาดเล็กเท่านั้น หากรอยรั่วใหญ่เกินไปอาจไม่สามารถอุดรั่วได้สนิท
- ความแข็งแรงไม่เท่าการเปลี่ยนยางใหม่: ยางที่ปะแล้วจะไม่แข็งแรงเท่ากับยางใหม่ที่ไม่เคยมีรอยรั่วหรือถูกปะมาก่อน แถมอาจมีโอกาสรั่วซึมได้อีกในภายหลัง
ปะบริเวณแก้มยางไม่ได้: หากรอยรั่วอยู่บริเวณแก้มยาง จะไม่สามารถปะยางด้วยวิธีแทงใยไหมได้ ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นคุณต้องเปลี่ยนยางใหม่เท่านั้น
ปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหมมีค่าใช้จ่ายกี่บาท?
สำหรับการปะยางแบบแทงใยไหมนั้นจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ราว 70-120 บาท ขึ้นอยู่กับร้านยางหรือผู้ที่ให้บริการเป็นหลัก และคุณยังไม่ต้องนำรถไปถ่วงล้อหลังจากนั้นอีกด้วย
วิธีที่ 3 ปะยางรถยนต์แบบสตรีมยาง
เราสามารถแบ่งวิธีปะยางรถยนต์แบบสตรีมยางแยกย่อยได้อีกสองแบบ ได้แก่ ปะยางแบบสตรีมเย็น กับปะยางแบบสตรีมร้อน โดยทั้งสองแบบนี้จะมีวิธีปะยางที่ค่อนข้างคล้ายกัน เริ่มจากการถอดล้อกับยางออกมาข้างนอก จากนั้นใช้กระดาษทรายขัดเตรียมบริเวณที่จะใช้วัสดุปะยางที่มีลักษณะเป็นแผ่นยางขนาดเล็กให้สะอาด และเพื่อให้กาวสามารถแนบประสานวัสดุกับยางได้แนบเนียนที่สุด
สำหรับการปะยางแบบสตรีมเย็นนั้นจะใช้กาวทาบนวัสดุปะยาง และจึงใช้อุปกรณ์สตรีมยางรีดกดในบริเวณที่มีรอยรั่วให้วัสดุปะยางปิดรอยรั่วไว้ให้หมด ส่วนการปะยางแบบสตรีมร้อนจะมีการใช้ความร้อนเข้ามาร่วมด้วยระหว่างการรีดวัสดุปะยางเข้ากับบริเวณที่มีรอยรั่วนั่นเอง
ข้อดีของการปะยางแบบสตรีมเย็น
- ปะรอยรั่วได้ดี: การสตรีมเย็นสามารถซ่อมแผลจากตะปูหรือรอยรั่วขนาดเล็กได้ดี และปิดแผลได้แนบสนิทกว่าการปะยางแบบแทงใยไหม
- ค่าใช้จ่ายไม่สูง: ราคาถูกกว่าการปะยางแบบสตรีมร้อน
ข้อเสียของการปะยางแบบสตรีมเย็น
- ความแข็งแรงไม่เท่าสตรีมร้อน: แผลที่มีการปะอาจไม่แข็งแรงเท่าการปะยางแบบสตรีมร้อน และมีโอกาสหลุดได้ง่ายกว่าเมื่อใช้งานไปสักระยะ
- เหมาะกับรอยรั่วขนาดเล็ก: การสตรีมเย็นไม่สามารถปิดรอยรั่วขนาดใหญ่ หรือรอยรั่วที่อยู่บริเวณแก้มยางได้
- อายุการใช้งานสั้นกว่า: แผลปะอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการปะยางแบบสตรีมร้อน
ข้อดีของการปะยางแบบสตรีมร้อน
- ความแข็งแรงสูง: การปะยางด้วยวิธีสตรีมร้อนจะทำให้แผลที่ปะมีความแข็งแรงทนทาน และสามารถใช้งานได้นาน
- สามารถปะรอยรั่วได้หลายขนาด: เหมาะกับรอยรั่วทั้งขนาดเล็กและขนาดกลางที่ไม่สามารถปะยางได้ด้วยการแทงใยไหมหรือสตรีมเย็น
- อายุการใช้งานยาวนาน: แผลปะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าการปะแบบสตรีมเย็นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อเสียของการปะยางแบบสตรีมร้อน
- ใช้เวลานานกว่า: การปะยางแบบสตรีมร้อนต้องใช้เวลาในการเตรียมและปะยางมากกว่า
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่า: มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการปะยางแบบสตรีมเย็น
- ต้องใช้เครื่องมือและช่างผู้เชี่ยวชาญ: สตรีมร้อนเป็นวิธีปะยางที่มีประสิทธิภาพ แต่จะต้องอาศัยเครื่องมือกับวัสดุปะยางที่มีมาตรฐาน พร้อมด้วยช่างผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจ
ปะยางรถยนต์แบบสตรีมมีค่าใช้จ่ายกี่บาท?
สำหรับการปะยางแบบแทงสตรีมยางเย็นหรือสตรีมร้อนนั้นจะมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ราว 150-400 บาท ขึ้นอยู่กับร้านยางหรือผู้ที่ให้บริการเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หลังจากสตรีมยางที่รั่วเสร็จแล้วคุณจะต้องเสียค่าถ่วงล้อที่ใส่ยางที่เพิ่งปะใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ล้อมีความสมดุลเหมาะสมกับการขับขี่มากที่สุด
BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 สองยาง A/T สายลุที่ทนทานต่อทุกสถานการณ์
เพื่อให้คุณไปถึงจุดหมายต่างๆ ได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่ยางจะรั่วหรือแบนให้น้อยลงไปมาก คุณสามารถเลือกใช้ยาง A/T อย่าง BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ที่พัฒนามาจากสุดยอดยาง A/T อย่าง KO2 เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดีที่สุดทั้งบนถนนปกติและทางออฟโรดที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ทราย ดินโคลน และสภาพทางต่างๆ ที่รอคุณให้พิชิตฝ่าไป
- BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ใช้งานได้นานกว่าถึง 15%
- BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ทนทานต่อการบาดหรือถูกตำมากขึ้น 20%
- BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ขับได้ดีขึ้นทั้งบนทางปกติที่ลื่นหรือเปียก
- BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 มีระยะเบรกบนทางเปียกสั้นลง 4.2 เมตร* เมื่อเทียบกับยางรุ่นก่อนหน้าอย่าง BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO2
ไม่เพียงเท่านี้ ยาง BFGOODRICH ALL TERRAIN T/A KO3 ยังมีการรับประกันยางที่เกิดจากการ บาด บวม แตก ตำภายใน 100 วัน ซึ่งครอบคลุมสำหรับยางที่ไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นขณะใช้งานบนถนนก่อนที่จะสึกลงถึงความลึกของยาง 1.6 มม. การรับประกันครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเสี่ยงบนท้องถนนที่คุณอาจพบ เช่น หลุมบ่อ, ขยะทางถนน, ตะปู, หรือแก้ว ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ผลิตยาง